6 สัญญาณเตือน “กรดไหลย้อน”

6 สัญญาณเตือน “กรดไหลย้อน”

กันยายน 01, 2567

ท้องอืด แน่นท้อง จะมีอาการคล้าย ๆ กับอาการของโรคกระเพาะอาหาร ซึ่งอาการนี้เกิดได้จากหูรูดของหลอดอาหารไม่สามารถปิดสนิทได้ เวลาที่ต้องมีการบีบตัวของหลอดอาหาร เพื่อที่จะไล่อาหารจากกระเพาะลงไปที่ลำไส้เล็ก ทำให้มีการท้นกลับของอาหารเข้ามาที่หลอดอาหารทั้งบริเวณในช่องท้อง และช่องอก ทำให้มีอาการท้องอืด แน่นท้องเรอเปรี้ยว หรือมีน้ำรสเปรี้ยว ๆ หรือขมออกมาทางลำคอ มักจะมีอาการนี้หลังรับประทานอาหารมื้อหนัก ๆกลืนลำบาก หรือกลืนแล้วรู้สึกเจ็บคอ เกิดจากกรดไหลย้อนไปสัมผัสกับกล้ามเนื้อคอ ทำให้กล้ามเนื้อหดตัวเจ็บหน้าอก จุกเหมือนมีอะไรติดคอ เกิดจากกรดไหลย้อนขึ้นมาผ่านหลอดอาหารที่อยู่ในช่องอก และกระตุ้นเส้นประสาทในหลอดอาหารแสบร้อนกลางอก เกิดจากความดันที่ช่องท้องเพิ่มขึ้น ทำให้กรดและอาหารที่อยู่ในกระเพาะอาหารไหลย้อนขึ้นมาในหลอดอาหาร ซึ่งอาการแสบร้อนกลางอกจะส่งผลให้หลอดอาหารนั้นเกิดการระคายเคืองได้คลื่นไส้ อาเจียน เกิดจากการไหลท้นกลับของอาหารเข้ามาที่หลอดอาหาร มักจะมีอาการนี้หลังรับประทานอาหารมื้อหนัก ๆอย่างไรก็ตามสัญญาณเตือนทั้ง 6 ข้อนี้ เป็นเพียงระยะอาการของโรคกรดไหลย้อนในระยะต้น เพื่อป้องกันไม่ให้โรคทวีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น วิธีการดูแลเบื้องต้นคือ หลีกเลี่ยงอาหารรสจัด น้ำส้มสายชู น้ำมะนาว น้ำมะเขือเทศ พริกไทย หลีกเลี่ยงช็อกโกแลต อาหารมัน กาแฟ ชา หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ใส่เสื้อผ้าที่ไม่คับหรือรัดแน่น พยายามนั่งตัวตรง ๆ และลองหา สมุนไพรเพื่อเข้ามาช่วยฟื้นฟู บรรเทาอาการอย่าง ขมิ้นชัน ที่มีสารสำคัญ น้ำมันหอมระเหยและสารกลุ่มเคอร์คูมินอยด์ (curcuminiods) สารสีเหลืองส้มโดยมีการศึกษาถึงฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาของ ขมิ้นชันในการบรรเทาอาการโรคในระบบทางเดินอาหารที่น่าใจหลายการศึกษา เช่น ฤทธิ์ขับลม บรรเทาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ การศึกษาในผู้ป่วยที่มีอาการอาหารไม่ย่อย (dyspepsia) พบว่า การรับประทานขมิ้นชันทั้งในรูปแบบของผงขมิ้นชัน ครั้งละ 500 มิลลิกรัม (มีเคอร์คูมินอยด์ 9.6% และน้ำมันหอมระเหย 8%) วันละ 4 ครั้ง ติดต่อกัน 7 วัน หรือขมิ้นชันแคปซูล 250 มิลลิกรัม ครั้งละ 2 แคปซูลวันละ 3 ครั้ง หลังอาหาร หรือสารสกัดขมิ้นชันวันละ 162 มิลลิกรัม นาน 28 วัน สามารถบรรเทาอาการของโรคอาหารไม่ย่อย ผู้ป่วยมีอาการดีขึ้น ลดอาการคลื่นไส้ และไม่สบายท้อง โดยประสิทธิภาพใกล้เคียงกับการได้รับยาขับลม และยารักษาแผลในกระเพาะอาหาร รานิทิดีน (ranitidine) 150 มิลลิกรัมนอกจากนี้ ขมิ้นชันยังมีฤทธิ์ป้องกันการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร โดยผ่านกลไกกระตุ้นการหลั่งเมือก หรือมิวซิน (mucin) มาเคลือบกระเพาะ ยับยั้งการหลั่งกรดและน้ำย่อยของกระเพาะ และต้านการอักเสบ โดยการศึกษาให้ผู้ป่วยที่มีแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้ รับประทาน ขมิ้นชันแคปซูล 600 และ 1,000 มิลลิกรัม/วัน แบ่งรับประทานวันละ 4 ครั้ง ก่อนอาหารและก่อนนอน นาน 12 สัปดาห์ ช่วยรักษาแผลในกระเพาะอาหารได้ใกล้เคียงกับการใช้ยาลดกรด และกลุ่มที่ได้รับขมิ้นชันที่แผลหายแล้วจะไม่กลับมาเป็นอีก และการรับประทานผงขมิ้นชันวันละ 1 กรัม หลังมื้ออาหารเช้าเย็น ร่วมกับการรับประทานยาซัลฟาซาลาซีน (sulfasalazine) หรือยาเมซาลาซีน (mesalamine) ซึ่งใช้ใน การรักษาโรคลำไส้อักเสบ จะให้ผลการรักษาดีกว่าใช้ยาแผนปัจจุบันเพียงอย่างเดียวแหล่งอ้างอิงโดยบทความ : ขมิ้นชัน...ขุนพลผู้พิชิตโรคในระบบทางเดินอาหาร, กนกพร อะทะวงษา, สำนักงานข้อมูลสมุนไพร, คณะเภสัชศาสตร์, มหาวิทยาลัยมหิดลบทความ : ดูแลตัวเองอย่างไรในภาวะกรดไหลย้อน, อ.นพ.ปิยะพันธ์ พฤกษพานิช, โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทยเรียงข้อมูลโดย ไทย เฮลท์ โปรดักส์ (THP)

!!น้ำมันมะพร้าว คุณค่ามหัศจรรย์จากธรรมชาติ!!

!!น้ำมันมะพร้าว คุณค่ามหัศจรรย์จากธรรมชาติ!!

สิงหาคม 31, 2567

น้ำมันมะพร้าว (Coconut Oil)เป็นหนึ่งในสารสกัดที่ได้รับการยอมรับ และถูกนำมาใช้กันอย่างแพร่หลาย อีกทั้งยังมีการนำมาใช้ในการรักษาโรค อย่าง การรักษาแผลไหม้ ท้องผูก ลำไส้อักเสบ ฆ่าเชื้อในช่องปาก เป็นต้น น้ำมันมะพร้าว (Coconut Oil) เป็นน้ำมันที่ได้จากการสกัดส่วนของเนื้อมะพร้าว โดยแยกเอาเฉพาะส่วนของน้ำมันออกมา โดยแบ่งออกเป็น 2 ชนิด ได้แก่น้ำมันมะพร้าว (Refined Bleaching Deodorizing Coconut Oil: RBD) เป็นน้ำมันที่ได้จากเนื้อมะพร้าวห้าวหรือเนื้อมะพร้าวแห้ง (Copra) ด้วยกรรมวิธีการสกัดด้วยตัวทำละลาย โดยผ่านความร้อนสูง 3 กระบวนการ ได้แก่ การทำให้บริสุทธิ์ (Refining) การฟอกสี (Bleaching) และการกำจัดกลิ่น (Deodorization) ทำให้ได้น้ำมันมะพร้าวที่มีสีเหลืองอ่อน ปราศจากกลิ่น รส และมีกรดไขมันอิสระไม่เกินร้อยละ 0.1 แต่วิตามินอีในน้ำมันมะพร้าวจะถูกกำจัดออกไปน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ หรือ น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น (Virgin Coconut Oil: VCO) เป็นน้ำมันมะพร้าวที่กำลังได้รับความสนใจอย่างมากในตอนนี้ โดยมีกรรมวิธีการสกัดโดยไม่ผ่านกระบวนการที่ใช้ความร้อนสูงและไม่ผ่านกระบวนการแปรรูปทางเคมี มีสีใสเหมือนน้ำ มีวิตามินอี ไม่ผ่านกระบวนการเติมออกซิเจน มีค่าเบอร์ออกไซด์ กรดไขมันต่ำ และมีกลิ่นมะพร้าวอ่อน ๆน้ำมันมะพร้าวมีกรดไขมันอิ่มตัวเป็นองค์ประกอบหลัก (มากกว่า 90%จากปริมาณกรดไขมันทั้งหมด) ซึ่งกรดไขมันอิ่มตัวที่ได้จากน้ำมันมะพร้าว เป็นกรดไขมันที่มีขนาดโมเลกุลสายขนาดปานกลาง (Medium chain fatty acid) ที่มีมากถึง 63% เช่น กรดลอริก (Lauric acid) ซึ่งเมื่อรับประทานและถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายแล้ว จะถูกเผาผลาญได้ดี สะสมในเนื้อเยื่อไขมัน (Adipose tissue) และกรดไขมันที่มีขนาดโมเลกุลยาว (Long chain fatty acid) 30% ที่เหลือเป็นกรดไขมันไม่อิ่มตัวสายยาว 7% ซึ่งเป็นกลุ่มกรดไขมันจำเป็นที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ซึ่งแตกต่างจากกลุ่ม Long chain fatty acids ที่พบใน นม เนย ชีส และไขมันจากสัตว์ทุกชนิด ที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพซึ่งควรจะหลีกเลี่ยง และด้วยโครงสร้างที่แตกต่างของกรดไขมันจากน้ำมันมะพร้าว จึงมีประโยชน์ต่อสุขภาพอย่างมาก ทำให้เมื่อเรารับประทานน้ำมันมะพร้าว ร่างกายจะดูดซึมได้ทันที และจะส่งผ่านไปที่ตับ จากนั้นตับจำทำการเปลี่ยนกรดไขมันเหล่านี้เป็นสารคีโตน ซึ่งสารคีโตนนี้เป็นสารที่เป็นแหล่งพลังงานสำคัญของสมอง ทำให้ช่วยฟื้นฟูความจำ ป้องกันโรคอัลไซเมอร์ อีกทั้งกรดไขมันจากน้ำมันมะพร้าวจะช่วยให้ต่อมไทรอยด์ทำงานได้ดีขึ้น จึงมีผลให้ระบบเผาผลาญไขมันโดยเฉพาะไขมันช่องท้องทำงานได้ดีมากขึ้น จึงช่วยป้องกันโรคเส้นเลือดหัวใจอุดตัน รวมถึงป้องกันโรคความดันโลหิตสูงได้ นอกจากนี้ผลพลอยได้จากอัตราการเผาผลาญที่เพิ่มขึ้น ไขมันและน้ำตาลที่สะสมในร่างกายถูกนำไปเผาผลาญเป็นพลังงาน ทำให้ช่วยลดระดับน้ำตาล และลดอัตราการเกิดโรคเบาหวานได้ อีกทั้งน้ำมันมะพร้าวยังช่วยบำรุงผิว ทำให้ผิวชุ่มชื้น บำรุงผม ช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรีย และเชื้อราอีกด้วยอย่างไรก็ตาม การรับประทาน "น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น" ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีมาตรฐาน มีการบรรจุจัดเก็บที่ดี เพื่อคงคุณภาพของสารสกัด และลดการปนเปื้อนก่อนที่เราจะรับประทานเข้าสู่ร่างกาย และการรับประทานน้ำมันมะพร้าวสกัดเย็นเพื่อช่วยในการลดน้ำหนัก แนะนำให้ทานควบคู่ไปกับการควบคุมอาหารให้เหมาะสมในแต่ละวัน และออกกำกายอย่างสม่ำเสมอ

สารสกัดจากเมล็ดองุ่น

สารสกัดจากเมล็ดองุ่น

สิงหาคม 16, 2567

ที่สุดแห่งสารต้านอนุมูลอิสระที่สูงกว่าวิตามิน ซี 20 เท่า จากสารสกัดเมล็ดองุ่นองุ่นเป็นผลไม้ลูกกลม ๆ ที่ทุก ๆ บ้านต้องมียู่บนโต๊ะอาหาร แต่ภายใต้เนื้อหวานแสนอร่อยขององุ่นนั่นจะมีกี่คนที่รู้ว่า เจ้าเมล็ดอองุ่นที่ทุกคนทิ้งกันไปนั้นอุดมไปด้วยคุณประโยชน์ ที่ช่วยเสริมสร้างความงาม และมีคุณประโยชน์กับร่างกายอย่างมาก จนกระทั่งในปี ค.ศ.1970 นักชีวเคมีชาวฝรั่งเศสได้นำเอาเมล็ดองุ่นไปทำการสกัด และในที่สุดก็ได้พบสารสำคัญที่มีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างมากที่มีชื่อว่า “โอลิโกเมอริก โปรแอนโธไซยานิดินส์ (Oligomeric Proanthocyanidins) หรือ OPCs”OPCs มีคุณสมบัติที่สำคัญในการเป็นสารต้านอนุมูลอิสระประสิทธิภาพสูง และละลายน้ำได้ดี จึงทำให้มีประสิทธิภาพมากในการปกป้องเซลล์ต่าง ๆ ของร่างกายจากการถูกทำลายจากอนุมูลอิสระ ทั้งยังมีประสิทธิภาพในการเป็นสารต้านอนุมูลอิสระมากกว่าวิตามิน ซี ถึง 20 เท่า และมากกว่าวิตามิน อี ถึง 50 เท่า1ประโยชน์ของ OPCs จากสารสกัดเมล็ดองุ่นเป็นสารต้านอนุมูลอิสระชั้นดี ต้านอนุมูลอิสระได้ทุกรูปแบบและจำนวนมาก ถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดภายใน 20-30 นาที จากนั้นจะกระจายไปยังส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย และยังคงอยู่ในร่างกายได้นานถึง 72 ชั่วโมง บำรุงผิวพรรณ ชะลอไม่ให้ผิวหนังแก่ก่อนวัย และลดแห้งกร้านของผิว ด้วยการเสริมสร้างคอลลาเจนให้เซลล์ชั้นใต้ผิวหนังช่วยลดริ้วรอย ฝ้า กระให้จางลง โดย OPCs จะช่วยต้านอนุมูลอิสระที่มาทำลายคอลลาเจนอิลาสติน และการผลิตเม็ดสี ที่เป็นสาเหตุทำให้ผิวเสื่อมสภาพ และเกิดริ้วรอยก่อนวัยอันควรจากคุณสมบัติยับยั้งเอนไซน์ที่ทำลายคอลลาเจนใต้ผิว ทำให้หลอดเลือดฝอยแข็งแรง จึงทำให้สามารถนำสารอาหารไปเลี้ยงเซลล์ผิวได้ดีสารสกัดจากเมล็ดองุ่น จึงเป็นสารสกัดจากธรรมชาติ ที่สามารถช่วยให้ผิวมีความยืดหยุ่นได้ดี ดูสดใส มีน้ำมีนวล ทั้งยังช่วยเพิ่มการไหลเวียนของโลหิต ยับยั้งการถูกทำลายของคอลลาเจน ทั้งยังลดปัญหาสำหรับผู้ที่มีสีผิวไม่สม่ำเสมอกันอีกด้วย2-3เอกสารอ้างอิงชณิศา พานิช.ประสิทธิผลของการรับประทานโอพีซีสารสกัดจากเมล็ดองุ่นและวิตามินซีเปรียบเทียบกับวิตามินซีเพียงอย่าง เดียวในการลดริ้วรอยอาสาสมัครเพศหญิงที่มารับการรักษาที่โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง [http://archive.mfu.ac.th/school/anti-aging/File_PDF/Research_PDF54/2.pdf]ธีรพงษ์ ขันทเจริญ , อรพิน เกิดชูชื่น , ณัฎฐา เลาหกุลจิตต์.ประสิทธิภาพการเป็นสารต้านอนุมูลอิสระจากสารสกัดจากสกัดเปลือกและเมล็ดขององุ่นพันธ์ คาร์ดินัล.วารสาร วิทยาศาสตร์เกษตร.ปีที่ 41 ฉบับที่ 3/1 (พิเศษ) กันยายน – ธันวาคม หน้า 617 – 619ปวีณ ปุณศรี.2504.องุ่น.พิมพ์ครั้งที่ 2.สโมสรพืชสวน มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์.กรุงเทพฯ.

สารสกัดจากทับทิม

สารสกัดจากทับทิม

สิงหาคม 15, 2567

ทำไม? สารสกัดจากทับทิมจึงช่วยชะลอวัย ทำให้ผิวขาวกระจ่างใสเชื่อว่าภาพความทรงจำวัยเด็กของใครหลาย ๆ คน มักจะต้องเคยเห็นคนในครอบครัวสรรหาน้ำผลไม้ที่ให้วิตามินซีสูง ๆ มาดื่มเป็นประจำ หรือเอาง่าย ๆ ไม่ว่าสื่อโทรทัศน์โฆษณาน้ำผลไม้ชนิดไหนต้องตามล่าหาสิ่งนั้นมาจงได้ แต่เราจะแน่ใจได้อย่างไรว่าสิ่งที่ได้ดื่มไปเหล่านั้นให้วิตามินสูงจริงหรือเปล่า แล้วส่งผลอย่างไรกับร่างกายของเราบ้าง วันนี้เรามีคำตอบมาฝากทุกคนกันทับทิม ผลไม้สีแดงสด ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์ แถมยังเต็มไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ วิตามินอี และวิตามินซี ในปริมาณสูง ซึ่งมีประโยชน์ต่อผิวพรรณเป็นอย่างมาก งั้นเรามาดูกันดีกว่าว่าเจ้าสารสกัดทับทิมนี้สามารถช่วยในด้านไหนได้บ้างฤทธิ์ต่อการสร้างเม็ดสีเมลานินสารสกัดจากทับทิม มีฤทธิ์ยับยั้งการสร้าง เม็ดสีเมลานิน ที่เป็นเม็ดสีผิวที่ทำให้ผิวคล้ำ มีการทดลองให้กรดแอลลาจิก ซึ่งเป็นสารสำคัญที่ได้จากทับทิม กับหนูสายพันธุ์บราวน์กินี (brown guinea) ที่ได้รับแสงอัลตราไวโอเลต พบว่า สารดังกล่าวมีผลยับยั้งการสร้างเม็ดสีเมลานินที่ผิวหนัง และน้ำมันจากเมล็ด และสารสกัดจากทับทิมยังมีฤทธิ์กระตุ้นการสร้าง และยับยั้งการทำลายคอลลาเจน ซึ่งมีผลกับการสร้างเซลล์ผิวหนัง  สารสกัดจากทับทิมยังสามารถยับยั้งการสร้างสารอนุมูลอิสระจากรังสีอัลตราไวโอเลตชนิด เอ และบีและยังพบอีกว่า สารสกัดทับทิมที่มีกรดแอลลาจิกจะช่วยยับยั้งไม่ให้ผิวคล้ำจากรังสีอัลตราไวโอเลตในหนูได้ และ ยังช่วยป้องกันการทำลายผิวจากรังสีอัลตราไวโอเลตชนิด เอ1 ได้ ทำให้สารสกัดทับทิมจึงเป็นผลไม้ที่ช่วยบำรุงผิวพรรณได้เป็นอย่างดี ช่วยชะลอไม่ให้เกิดริ้วรอยเหี่ยวย่นก่อนวัยอันควร ทั้งยังสามารถป้องกันอันตรายจากรังสีอัลตราไวโอเลตชนิด เอ และบีที่อาจนำไปสู่โรคมะเร็งผิวหนังได้ฤทธิ์ต่อการต้านอนุมูลอิสระสารสกัดจากทับทิม เป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น แอลลาจิแทนนิน ฟลาโวนอยด์ และโพลีฟีนอล เป็นต้น สารสกัดจากทับทิมจะมีสารต้านอนุมูลอิสระออกมา เพื่อป้องกันอันตรายของมลพิษจากสิ่งแวดล้อมการศึกษาตรวจวิเคราะห์หาความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระของสารสกัดจากทับทิม พบว่า เปลือกทับทิมเป็นแหล่งของสารต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญจำนวนมาก ทั้งยังพบว่า มีฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระได้สูงกว่าสารสกัดจากใบและเมล็ดทับทิม2-3นอกจากนี้ยังมีการศึกษาเปรียบเทียบประสิทธิภาพของฤทธิ์การต้านอนุมูลอิสระของน้ำผลไม้หลายชนิดในประเทศสหรัฐอเมริกา พบว่า น้ำทับทิม มีฤทธิ์ต้าน อนุมูลอิสระสูงที่สุด4-6  สารต้านอนุมูลอิสระในทับทิมยังช่วยบำรุงตับได้ โดยจากการทดลองให้สารสกัดจากทับทิมในหนูทดลองก่อนที่จะให้สารพิษคาร์บอนเนตคลอไรด์ (CCl4 ) ซึ่งเป็นพิษต่อตับ พบว่า หนูที่ได้รับสารสกัดจากทับทิมสามารถป้องกันการเป็นพิษต่อตับได้อย่างมีนัยสำคัญ7ดังนั้นสารสกัดจากทับทิมจึงมี ประโยชน์อย่างยิ่งที่จะนำมาใช้ชะลอความเสื่อมต่าง ๆ ของร่างกายได้เอกสารอ้างอิงวัลวิภา เสืออุดม.ทับทิมผลไม้เพื่อสุขภาพ Healthy pomegranate fruit .มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ, มหาวิทยาลัยราชภัฎหมูบ้านจอมบึง.2559 [http://scijournal.hcu.ac.th/data]Al-Zoreky NS. Antimicrobial activity of pomegranate (Punica granatum L.) fruit peels. Int J Food Microbiol 2009;134(3):244-8. 44. Colombo M, Moita C, van Niel G, Kowal J, Vigneron J, Benaroch P, et al. Analysis of ESCRT functions in exosome biogenesis, composition and secretion highlights the heterogeneity of extracellular vesicles. J Cell Sci 2013;126 (24):5553-65. [https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/19632734/]Braga LC, Shupp JW, Cummings C, Jett M,Takahashi JA, Carmo LS, et al. Pomegranate extract inhibits Staphylococcus aureus growth and subsequent enterotoxin production. J Ethnopharmacol 2005;96(1-2):335-9. [https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/15588686/]Guo C, Yang J, Wei J, Li Y, Xu J, Jiang Y. Antioxidant activities of peel, pulp, and seed fractions of common fruits as determined by FRAP assay. Nutr Res 2003;23(12):1719-26 [https://link.springer.com/article/10.1007/s10068-011-0003-z]Kasai K, Yoshimura M, Koga T, Arii M, Kawasaki S. Effect of oral administration of ellagic acid-rich pomegranate extract of ultravioletinduct pigmentation in human skin. J Nutr Sci Vitaminol 2006;52(1):383. [https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/17190110]Tinrat S, Akkarachaneeyakorn S, Singhapol C. Evaluation of antioxidant and antimicrobial activities of Momordica cochinchinensis spreng (gac fruit) ethanolic extract. IJPSR 2014;5(8): 3163-9. [https://ijpsr.com/bft-article/evaluation-of-antioxidant-and-antimicrobial-activities-of-momordica-cochinchinensis-spreng-gac-fruit-ethanolic-extract/?view=fulltext]Seeram NP, Adams LS, Henning SM, Niu Y, Zhang Y, Nair MG. In vitro antiproliferative, apoptotic and antioxidant activities of punicalagin, ellagic acid and a total pomegranate tannin extract are enhanced in combination with other polyphenols as found in pomegranate juice. J Nutr Biochem 2005;16(6):360[https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/15936648/]

ผิวขาวกระจ่างใส “กลูตาไธโอน”

ผิวขาวกระจ่างใส “กลูตาไธโอน”

ตุลาคม 02, 2566

ผิวขาวกระจ่างใสด้วย “กลูตาไธโอน”เชื่อว่าการที่ผิวขาว กระจ่างใส ดูสุขภาพดี เป็นสิ่งที่หลาย ๆ คนต้องการ ทำให้กลูตาไธโอนเป็นที่นิยมอย่างมากเพราะการมีผิวที่ขาว กระจ่างใส เป็นสิ่งที่เสริมสร้างความมั่นใจให้กับหลาย ๆ คน จึงทำให้ปัจจุบันมี ผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่เสริมสร้างผิวขาวออกสู่ท้องตลาดเป็นจำนวนมาก เพื่อตอบโจทย์ความต้องการดังกล่าว1กลูตาไธโอน คือ สารต้านอนุมูลอิสระที่ถูกสร้างและใช้มากที่สุดในร่างกาย ทั้งยังเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องสายตาของคนเรา ช่วยเปลี่ยนแป้งที่สะสมในร่างกายให้เป็นพลังงาน และป้องกันการสะสมของไขมัน ซึ่งอาจนำไปสู่การเป็นโรคหัวใจกลูตาไธโอน ทำหน้าที่ปกป้องทุกเซลล์ของร่างกาย แต่เมื่ออายุมากขึ้นปริมาณกลูตาไธโอนในร่างกายจะลดน้อยลง หรือถูกผลิตขึ้นช้าลง และมีปริมาณน้อยลง เมื่อเราอายุย่างเข้า 20 ปี ปริมาณกลูตาไธโอนในร่างกาย จะลดลงเฉลี่ย 8-12% ต่อ 10 ปี แต่หากร่างกายมีการบริโภคยา หรือเคมีมากเกินไป ปริมาณการลดลงของกลูตาไธโอนในร่างกายจะรวดเร็วกว่าที่คาดไว้ ทำให้ร่างกายเสื่อมโทรมเร็วก่อนวัย และโรคต่าง ๆ เข้าแทรกแซงได้ง่าย3กลูตาไธโอน เป็นโปรตีนที่ประกอบด้วยกรดอมิโนที่สำคัญ 3 ชนิด รวมกันอยู่คือ ซิสเตอิน(Cystein) ไกลซิน (Glycine) และ กลูตาเมท (Glutamate) ที่ร่างกายสามารถสังเคราะห์ได้เอง ทำหน้าที่ปกป้องเนื้อเยื่ออวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายคุณสมบัติของกลูตาไธโอนAntioxidation กลูต้าไธโอนจะเปลี่ยนเป็นเอมไซม์ glutathione peroxidase เป็นสารที่มี antioxidant ที่สามารถช่วยความเสื่อมของเซลล์ต่าง ๆในร่างกายDetoxification กลูตาไธโอนช่วยสร้างเอมไซน์ชนิดต่าง ๆ โดยเฉพาะ glutathiones-transferse ที่ตับ ช่วยในการกำจัดสารพิษออกจากร่างกายImmune Enhancer กลูตาไธโอนจะส่งผลให้เพิ่มความสามารถในการกำจัดสิ่งแปลกปลอม และเชื้อโรคของเม็ดเลือดขาวชนิด neutrophilis และยังเพิ่มความสามารถในการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันร่างกายด้วย ทำให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันมากขึ้น และกระตุ้นการทำงานของเอนไซม์หลายชนิด เพื่อให้ร่างกายต่อต้านสิ่งแปลกปลอม รวมถึงซ่อมแซม DNA สร้างโปรตีน และ prostaglandin2กลูตาไธโอนกับกลไกการเกิดสีผิวสีผิวของมนุษย์เกิดจากการที่เม็ดสีที่เรียกว่า เมลานิน (Melanin) ซึ่งเป็นโพลิเมอร์ที่ไม่ละลายน้ำ กระจายตัวอยู่ในชั้นผิวเม็ดสีที่อยู่ในผิวหนัง ทำหน้าป้องผิวหนังจาก UV จากแสงอาทิตย์โดยการดูดกลืนรังสี UV แล้วเปลี่ยนพลังงานให้เป็นความร้อน เมลานินถูกผลิตขึ้นจากกรดอะมิโนที่ชื่อไทโรซีน (Tyrosine) โดยทั่วไป มี 2 ชนิด คือ ยูเมลานิน (Eumelanin) และ ฟีโอเมลานิน (Pheomelanin)  โดยปริมาณเม็ดสีที่กระจายตัวอยู่ในผิวหนัง จะมีมากหรือน้อยเป็นลักษณะทางพันธุกรรม โดยที่ยูเมลานินจะพบมากในคนผิวเข้ม ซึ่งส่วนใหญ่อาศัยอยู่ บริเวณเส้นศูนย์สูตรซึ่งมีความเข้มของรังสี UV มาก ในขณะที่ฟีโอเมลานิน พบในคนผิวขาว ซึ่งได้รับ ปริมาณรังสีUV น้อยกว่าสารกลูตาไธโอนที่เข้าสู่ร่างกาย จะทำหน้าที่ กระตุ้นให้กรดอะมิโน tyrosine เปลี่ยนรูปเป็น ฟีโอเมลานินในปริมาณที่มากขึ้น หรืออาจกล่าว อีกในหนึ่งว่าสารกลูตาไธโอนจะเปลี่ยนเม็ดสียูเมลานิน ให้กลายเป็นฟีโนเมลานิน ซึ่งส่งผลให้ผู้ที่ได้รับสาร ดังกล่าวมีสีผิวที่ขาวขึ้น2เอกสารอ้างอิงคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล. กลูตาไธโอน (Glutathione) ทำให้ขาวจริงหรือ?. เอกสารจากเว็บไซด์www.pharmacy.mahidol.ac.th [https://pharmacy.mahidol.ac.th/th/knowledge/article/]วารสาร สารตำรายา ปีที่ 19 ฉบับที่ 1 มกราคม – เมษายน 2555.ภญ.รศ.ดร.ชุติมา ลิ้มมัทวาภิรัติ์ และ ภญ.รศ.ดร.สนทยา ลิ้มมัทวาภิรัติ์. ประโยชน์ทางการแพทย์ของกลูตาไทโอนและสารที่กระตุ้นการสร้างกลูตาไทโอน. วารสาร ไกรสัชยนิพรธ์ปีที่ 6 เดือนมกราคม – ธันวาคม 2554.