The king of herbs restores performance and increases physical energy.

The king of herbs restores performance and increases physical energy.

October 03, 2024

ปัญหาสุขภาพในปัจจุบันที่สร้างความกังวล ลดความมั่นใจให้ทั้งคุณผู้ชาย และคุณผู้หญิง คือภาวะที่ร่างกาย หย่อน สมรรถภาพทางเพศ หรือถ้าเกิดขึ้นกับคุณผู้ชายก็จะเรียกว่า นกเขาไม่ขัน (Erectile dysfunction: ภาวะการแข็งตัวของอวัยวะเพศชายไม่เต็มที่) และถ้าเกิดกับคุณผู้หญิงก็จะส่งผลให้มีอาการกวนใจต่าง ๆ อย่าง อาการเจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์ (Dyspareunia)   ถือได้ว่าภาวะที่ ร่างกาย หย่อนสมรรถภาพทางเพศ เป็นเหมือนสัญญาณเตือนของความผิดปกติที่อาจจะเริ่มเกิดในระบบหลอดเลือดและหัวใจ เพราะในช่วงที่เกิดอารมณ์ทางเพศ ร่างกายจะต้องอาศัยการไหลเวียนเลือดที่ดีในการสูบฉีดเลือดไปยังอวัยวะเพศให้พร้อมในการใช้งาน ดังนั้นอสมรรถภาพทางเพศ ที่ลดลงจึงไม่ได้บอกปัญหาแค่เพียงเฉพาะจุด แต่เป็นการแสดงออกถึงการเสียสมดุลภายในร่างกายของเราอีกด้วยและเมื่อพูดถึงการคืนสมรรถภาพ เพิ่มพลังกายด้วยวิถีแบบธรรมชาติ ก็คงหนีไม่พ้นราชาสมุนไพรอย่าง “โสม” และ “ถั่งเช่า” สมุนไพรทั้ง 2 ชนิดนี้ขึ้นชื่อในเรื่องของการปรับสมดุลภายในร่างกาย และเพิ่มสมรรถภาพทางเพศ ที่มีการศึกษาวิจัยถึงผลทางชีวภาพ และฤทธิ์ทางเภสัชวิทยายืนยันว่า“โสม” ช่วย ฟื้นฟูสรรถภาพ และสามารถเสริมประสิทธิภาพทางเพศ โดยมีงานวิจัยในผู้ป่วยที่มีภาวะร่างกาย หย่อน สมรรถภาพทางเพศ 45 ราย โดยให้รับประทานโสมปริมาณ 900 มิลลิกรัม 3 ครั้งต่อวันเป็นระยะเวลาสองเดือน พบว่า สามารถเพิ่มสมรรถภาพทางเพศได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ และ“ถั่งเช่า” ช่วยเพิ่มสมรรถภาพทางเพศได้ โดยมีงานวิจัยในผู้ชาย 22 คน ที่มีประวัติการใช้ถั่งเช่าเป็นอาหารเสริม พบว่า สามารถช่วยเพิ่มจำนวนของสเปิร์มในอสุจิได้ 33% และมีผลลดลงของสเปิร์มที่มีความผิดปกติลงได้ถึง 29 % อีกทั้งยังสามารถช่วยทำให้อาการและความต้องการทางเพศสูงขึ้น 66% อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติดังนั้นผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติที่มีส่วนผสมของ “โสม” และ “ถั่งเช่า” เมื่อรับประทานเข้าสู่ร่างกายตัวยาที่มีอยู่ในโสมจะช่วยกระตุ้นให้ร่างกายสร้างเม็ดเลือดแดง ปรับอัตราการเต้นของหัวใจให้กลับเข้าสู่สภาพปกติ ทำให้การสูบฉีดเลือดในร่างกายมีความเสถียรมากขึ้น สารสำคัญที่เข้าไปฟื้นฟูสมรรถภาพทางเพศทั้งในโสมและถั่งเช่าจะออกฤทธิ์ส่งเสริมกัน จึงยิ่งทำให้ประสิทธิในการฟื้นฟูและเพิ่มสมรรถภาพมีเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว ทั้งนี้เพื่อให้ร่างกายได้ดูดซึมสารสำคัญจากโสมและถั่งเช่าได้มากที่สุด แนะนำให้ลองเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีวิตามินอีเป็นหนึ่งในส่วนผสม เนื่องจากวิตามินอีเป็นวิตามินสำคัญที่จะช่วยป้องกันการแตกของเม็ดเลือดแดง ช่วยดูดซับอนุมูลอิสระที่เป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เซลล์หรือเนื้อเยื่อถูกทำลาย อีกทั้งวิตามินอียังช่วยป้องกันสารสำคัญที่ได้จากโสมและถั่งเช่า ไม่ให้ถูกทำลายด้วยกรดหรือสารเคมีในกระเพาะอาหาร ทำให้การรับประทานสมุนไพรทั้ง 2 ชนิดนี้เกิดผลดีกับร่างกายมากที่สุดอย่างไรก็ตามภาวะที่ร่างกายหย่อนสมรรถภาพทางเพศไม่ใช่ภาวะที่เกิดขึ้นกับวัยสูงอายุเท่านั้น ในปัจจุบันเราสามารถพบผู้ป่วยผู้ชายอายุ 20-30 ปี มีโอกาสที่จะประสบกับภาวะที่ร่างกายหย่อนสมรรถภาพทางเพศถึง 8% และมีการคาดการณ์จากกรมอนามัยของสหรัฐอเมริกาว่าผู้ป่วยภาวะร่างกายหย่อนสมรรถภาพทางเพศจะเพิ่มมากขึ้นถึง 170 ล้านคนในปี 2568 และถึงแม้ว่ายุดนี้ภาวะหย่อนสมรรถภาพเป็นเรื่องที่ถูกเปิดกว้างใคร ๆ ก็เป็นกัน แต่จริง ๆ แล้วการมองเรื่องนี้เป็นเรื่องปกติ หรือการหาตัวช่วยแบบผิดวิธี เป็นการดูแลรักษาสุขภาพที่หลงทิศหลงทางและน่าเป็นห่วง เพราะการปล่อยไว้เรื้อรังก็อาจ “ก่อให้เกิดโรคอื่น” ได้แหล่งอ้างอิงโดย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.), www.vcharkarn.com, www.tpma.or.th, นพ.สมยศ กิตติมั่นคง หัวหน้ากลุ่มโรคเอดส์ สำนักโรคเอดส์ วัณโรคและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุขบทความเผยแพร่ความรู้สู่ประชาชน, www.pharmacy.mahidol.ac.th, รองศาสตราจารย์ ดร.นพมาศ สุนทรเจริญนนท์ และ ธิดารัตน์ จันทร์ดอน สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดลคลังข้อมูลยา, www.pharmacy.mahidol.ac.th, นศภ. ทศพล จันทร์ดี,  คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดลความรู้เกี่ยวกับสุขภาพ, www.vejthani.com, ศูนย์ฟื้นฟูสุขภาพ, โรงพยาบาลเวชธานีบทความสุขภาพ, www.bangkokhealth.com, นพ.วรวุฒิ เจริญศิริ, ศูนย์วิจัยสุขภาพกรุงเทพผลทางเภสัชวิทยาของสารจินเซ็นโนไซด์ในโสมอเมริกาต่อสุขภาพ, วารสารพยาบาลทหารบก, คุณ สุรพจน์ วงศ์ใหญ่, ปีที่ 13 ฉบับที่ 3 (ก.ย. - ธ.ค.) 2555เว็บไซต์กระทิงแคป https://krathingcap.com

Cordyceps: The Emperor's Secret to Health

Cordyceps: The Emperor's Secret to Health

October 02, 2024

เป็นที่รู้จักกันดีกับ “ถั่งเช่า” (Cordyceps) หรือ “หญ้าหนอน” สมุนไพรจีนที่มีคุณภาพชั้นเยี่ยม กับคุณสมบัติชั้นยอดหลายด้านในเรื่องของการดูแลสุขภาพ ถือได้ว่าเป็นสมุนไพรจีนที่มีสรรพคุณทางยาที่แพทย์จีนโบราณค้นพบและใช้ในการรักษา รวมทั้งถวายเป็นเครื่องเสวยขององค์จักรพรรดิ และราชวงศ์ จนได้รับการยอมรับมานานนับศตวรรษในปัจจุบันคนไทยเรียก “ถั่งเช่า” ว่า “หญ้าหนอน” มีคุณสมบัติ ช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน กระตุ้นการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาว ที่เป็นเสมือนทหารมือเอกประจำร่างกาย หรือเรียกว่า หน่วยเพชฌฆาต (Natural Killer Cell) ที่มีความสามารถในการยับยั้งเชื้อไวรัส และเซลล์มะเร็ง บำรุงการทำงานของไต ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด เพิ่มออกซิเจนในการไหลเวียนเลือด ช่วยต้านอนุมูลอิสระ อีกทั้งยังช่วยเสริมสร้างสรรถภาพทางเพศจนได้สมญานามว่าเป็น “ไวอาก้าแห่งเทือกเขาหิมาลัย”จากการศึกษางานวิจัยหลายชิ้นเกี่ยวกับ “ถั่งเช่า” ถึงผลทางชีวภาพ และฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา พบว่า ในถั่งเช่าอุดมไปด้วยสารสำคัญที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย อีกทั้งยังมีรายงานด้านการวิจัยในคนเกี่ยวกับการศึกษาฤทธิ์ของ ถั่งเช่าในการเพิ่มสมรรถภาพทางเพศ โดยพบว่า ในกรณีการศึกษาฤทธิ์ของถั่งเช่าต่อการกระตุ้นสมรรถภาพทางเพศ ผลการศึกษาพบว่า ในผู้ชาย 22 คน ที่ใช้ถั่งเช่าเป็นอาหารเสริม พบว่า ช่วยเพิ่มจำนวนของสเปิร์มในอสุจิได้ 33% และยังมีผลลดลงของสเปิร์มที่มีความผิดปกติลง 29% นอกจากนี้ ยังมีอีกกรณีการศึกษาในผู้ชายและผู้หญิง 189 คน ที่มีความต้องการทางเพศลดลง โดยพบว่า ถั่งเช่าสามารถช่วยทำให้อาการและความต้องการทางเพศสูงขึ้น 66% และยังมีงานวิจัยสนับสนุนอีกมากมายว่าการรับประทานถั่งเช่า จะช่วยปกป้อง และช่วยให้การทำงานของต่อมหมวกไต ฮอร์โมนจากต่อมไทมัส และจำนวนของสเปิร์มที่สามารถปฏิสนธิได้เพิ่มขึ้น 30% และช่วยเพิ่มความต้องการทางเพศของผู้หญิงได้ 86%อย่างไรก็ตาม ถั่งเช่า ไม่ได้มีสรรพคุณเพียงการฟื้นฟูสมรรถภาพทางเพศ แต่ยังมีงานศึกษาวิจัยอีกหลายฉบับที่ได้ศึกษาวิจัยฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา ที่พบว่าถั่งเช่ามีฤทธิ์ปรับสมดุลของร่างกาย กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ฤทธิ์ต้านมะเร็ง ลดระดับน้ำตาลในเลือด ต้านการอักเสบ เป็นต้นการรับประทานถั่งเช่าถือว่า เป็นทางเลือกหนึ่งในการดูแลสุขภาพ ที่เราสามารถมั่นใจในเรื่องของความปลอดภัยเนื่องจากเป็นวัตถุดิบที่มาจากธรรมชาติ แต่ก็ยังมีข้อจำกัดในเรื่องของภาวะภายในร่างกายที่เราไม่สามารถรับรู้ได้ด้วยตาเปล่า ดังนั้นเพื่อการรับประทานถั่งเช่าให้มีประโยชน์ และมีความปลอดภัยสูงสุด ควรทำการศึกษาข้อมูลของผลิตภัณฑ์จากแหล่งที่มีมาตรฐาน หาข้อมูลถึงวิธีการรับประทานที่เหมาะสม หรือของรับคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ หรือแพทย์เพื่อเป็นการป้องกันผลเสีย และอาการข้างเคียงที่อาจจะเกิดขึ้นได้แหล่งอ้างอิงโดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.), www.vcharkarn.com, www.tpma.or.th, นพ.สมยศ กิตติมั่นคง หัวหน้ากลุ่มโรคเอดส์ สำนักโรคเอดส์ วัณโรคและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข. บทความเผยแพร่ความรู้สู่ประชาชน, www.pharmacy.mahidol.ac.th, รองศาสตราจารย์ ดร.นพมาศ สุนทรเจริญนนท์ และ ธิดารัตน์ จันทร์ดอน สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล เว็บไซต์กระทิงแคปโกลด์ https://krathingcap.com

!!Why do you need to take calcium from a young age!!

!!Why do you need to take calcium from a young age!!

September 10, 2024

ร่างกายของเราในช่วงอายุ 30-35 ปี กระดูกจะถูกสร้างและสะสมสูงสุด แต่หลังจากนั้นอัตราของการสลายตัวจะมีมากกว่าการสร้าง นี่จึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเราถึงต้องทานแคลเซียมตั้งแต่อายุน้อย ดังนั้นช่วงอายุก่อนที่จะก้าวเข้าอายุ 30-35 ปี จึงเป็นเวลาที่ดี ที่เราจะทานอาหารที่อุดไปด้วยแคลเซียม เพื่อสะสมมวลกระดูก บำรุงกระดูกและฟันชะลอการสลายของกระดูก ป้องกันโรคกระดูกพรุน หรือความเสี่ยงโรคร้านต่าง ๆ หลังอายุ 35 ปีจากการศึกษาของ The American College of Nutrition พบว่า แคลเซียม ไม่เพียงแค่ป้องกันโรคทางกระดูกให้กับเราเท่านั้น แต่สามารถช่วยป้องกัน และบรรเทาอาการจากโรคต่าง ๆ อย่าง สามารถลดอาการไม่พึงประสงค์ต่าง ๆ ก่อนมีประจำเดือน (Premenstrual Syndrome) เช่น อาการปวดหัว หงุดหงิดง่าย อยากอาหารท้องอืด ไม่สบายท้องได้ถึง 50 เปอร์เซ็นต์ และอาจมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงโรคความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดสมอง และโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่อีกด้วยปริมาณแคลเซียมที่ร่างกายควรได้รับในแต่ละช่วงอายุอายุ < 40 ปี                                         800 mg / วันอายุ 50 ปี                                            1000 mg / วันผู้หญิงตั้งครรภ์ และอายุ > 60ปี       1200 mg / วันนอกจากนี้ยังมีปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ ที่ส่งผลให้ร่างกายขาดแคลเซียม ได้แก่ กินแคลเซียมไม่พอ ไม่ออกกำลังกาย ดื่มกาแฟเกินขนาด ดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป ขาดฮอร์โมน Estrogen ก่อนวัยหมดประจำเดือน เช่น ต้องผ่าตัดรังไข่ 2 ข้างออกมีโครงร่างเล็ก มีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคกระดูกพรุนหรือกระดูกหักจากโรคกระดูกพรุน และเคยมีประวัติกระดูกหักมาก่อน แต่อย่างไรก็ตามควรวางแผนในการรับประทานแคลเซียมไปควบคู่กับการออกกำลังกาย และลดพฤติกรรมเสี่ยงที่ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดโรคกระดูกพรุนจะดีที่สุด

"Astaxanthin" is a super antioxidant that nourishes the eyes and skin!!

"Astaxanthin" is a super antioxidant that nourishes the eyes and skin!!

September 07, 2024

แอสตาแซนธิน (Astaxanthin) สารสีแดงส้มอยู่ในกลุ่มแคโรทีนอยด์ ที่มีประสิทธิภาพสูงอย่างมากในการต้านอนุมูลอิสระ จนทำให้แอสตาแซนธิน (Astaxanthin) ได้รับความสนใจอย่างมาก และถูกนำมาใช้ประโยชน์ในด้านโภชนศาสตร์และเวชสำอาง แถมยังมีคุณประโยชน์ทางด้านการแพทย์มากมาย ทำให้ในปี 2557 เกิดความต้องการแอสตาแซนธินพุ่งสูงถึง 280 ตัน และในปัจจุบันยังคงมีอัตราการเติบโตอยู่ร้อยละ 7 นี่จึงเป็นสิ่งหนึ่งที่สามารถยืนยันความสามารถพิเศษของแอสตาแซนธิน (Astaxanthin) ในด้านคุณสมบัติต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี วันนี้เราจึงอยากพาทุกคนมาทำความรู้จัก และเล่าถึงคุณสมบัติที่แสนจะมหัศจรรย์ให้ทุกท่านได้ทราบกันแอสตาแซนธิน  (Astaxanthin) พบมากในสัตว์ทะเลส่วนใหญ่ อย่าง ปลาแซลมอน ปลาเทราด์ เคย (Krill) กุ้ง กั้ง ปู แต่จากแหล่งธรรมชาติที่พบมากที่สุดคือ สาหร่ายขนาดเล็กสีแดง (Microalgae Haematococcus pluvialis) ซึ่ง แอสตาแซนธิน (Astaxanthin) เป็นสารต้านอนุมูลอิสระร่างกายไม่สามารถสร้างเอง ต้องรับเพิ่มจากการบริโภคอาหารหรืออาหารเสริมเข้าไปร่างกายควรได้รับ Astaxanthin วันละ 4-12 มิลลิกรัมแอสตาแซนธิน มีโครงสร้างที่พิเศษเป็นเอกลักษณ์ ทั้งในส่วนที่ละลายในน้ำ และละลายในน้ำมัน จึงสามารถปกป้องเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกายได้ ทั้งภายในและภายนอก และยังมีส่วนช่วยให้ร่างกายดูดซึมแอสตาแซนธิน (Astaxanthin) ได้ดีกว่ากลุ่มแคโรทีนอยด์ทั่วไป และด้วยสาเหตุนี้ทำให้แอสตาแซนธินมีคุณสมบัติเหนือกว่าสารต้านอนุมูลอิสระชนิดอื่น ๆ จนได้รับฉายาว่าเป็น “Nature’s Most Powerful Antioxidant”นอกจากแอสตาแซนธิน (Astaxanthin) จะมีบทบาทในการต้านอนุมูลอิสระที่แรง และดีเยี่ยมแล้ว มีความสามารถในการต้านอนุมูลอิสระได้แรงกว่าวิตามิน ซีธรรมดา 6,000 เท่าCo Q10 800 เท่าวิตามิน อี 550 เท่าGreen tea catechins 550 เท่าAlpha lipoic acid (ALA) 75 เท่าเบต้า แคโรทีน 40 เท่าสารสกัดจากเมล็ดองุ่น 17 เท่าซึ่ง สารต้านอนุมูลอิสระ มี คุณประโยชน์สำคัญต่าง ๆ มากมายอย่าง ลดภาวะการอักเสบในร่างกาย และเสริมระบบภูมิคุ้มกันช่วยป้องกันตาแห้ง ตาอ่อนล้า ลดอาการเจ็บตา ช่วยลดปัญหาด้านการมองเห็น ช่วยเพิ่มการไหลเวียนเลือดไปยังดวงตา ป้องกัน และฟื้นฟูจอประสาทตาที่เสื่อม ซึ่งพบมากในผู้สูงอายุ และ ผู้ป่วยเบาหวาน ช่วยป้องกันดวงตาจากรังสีอัลตร้าไวโอเลตปกป้องโครงสร้างผิว จากการถูกทำลายโดยแสงแดดและรังสี อัลตราไวโอเลต ช่วยกระชับรูขุมขน ลดเลือนริ้วรอย คืนความชุ่มชื้น และความอ่อนเยาว์ช่วยเสริมการทำงานของเซลล์สื่อประสาทในสมอง เพิ่มการจดจำ และลดอาการหลงลืมลดระดับความดันโลหิต เพิ่มการไหลเวียนเลือดในหลอดเลือดฝอย ช่วยควบคุมระดับไขมันในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติช่วยเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ในร่างกายป้องกันโรคหัวใจ โดยป้องกันการอักเสบภายในหลอดเลือด ซึ่งทางการแพทย์ชี้ว่าเป็นสาเหตุหลักของโรคหัวใจในปัจจุบัน ด้วยคุณสมบัติมากมายที่มีที่แตกต่างจากดสารต้านอนุมูลอิสระตัวอื่น ๆ ทำให้แอสตาแซนธิน (Astaxanthin) โด่งดังด้วยงานวิจัยมากมาย ถือได้ว่าเป็นสารต้านอนุมูลอิสระแห่งยุคที่มีประสิทธิภาพสูง และปลอดภัย ไม่มีผลข้างเคียง ถือว่าแอสตาแซนธิน (Astaxanthin) เหมาะกับการรับประทานเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อช่วยดูแลสุขภาพ แต่ควรทานอาหารหลักที่มีคุณค่าทางโภชนาการ พักผ่อนให้เพียงพอ หมั่นออกกำลังกายควบคู่กันไปด้วย เพื่อช่วยเสริมสุขภาพดี และห่างไกลจากโรคร้ายได้มากยิ่งขึ้นแอสตาแซนธิน เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยในเรื่องการดูแลทุกๆเซลล์ในร่างกายให้ทำงานได้อย่างเป็นปกติสาหร่ายฮีมาโตคอกคัส พลูวิเอลิสคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระที่แรงกว่า vit c 6000เท่าช่วยให้ผิวคงความอ่อนวัย ลดริ้วรอย ความหย่อนคล้อย และจุดด่างดำช่วยปกป้องผิวจากแสงแดดไม่ให้มาทำร้ายคอลลาเจน ในชั้นหนังแท้ช่วยบำรุงสายตา ป้องกันและฟื้นฟูจอตาที่เสื่อมช่วยป้องกันดวงตาจากรังสีอัลตร้าไวโอเลตช่วยป้องกันการเสื่อมของไตและหลอดเลือดในผู้ป่วยเบาหวานช่วยบำรุงหัวใจช่วยบรรเทาอาการอักเสบช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรค โดยเฉพาะผู้ป่วยภูมิแพ้ตัวเอง ภูมิต้านทานต่ำ และการติดเชื้อไวรัสเรื้อรังบทความอ้างอิงAstaxanthin, the most powerful antioxidant found in nature จากบล็อก https://blog.yamamotonutrition.com/en/astaxanthin-the-most-powerful-antioxidant-found-in-nature-a1754 Haematococcus pluvialis - Wikipedia จาก https://en.wikipedia.org/wiki/Haematococcus_pluvialis แอสตาแซนธิน จาก https://www.thpherbal.com/product/22814-25764/แอสตาแซนธิน Astaxanthin (แอสตาแซนทิน) - พบแพทย์ (pobpad.com) จาก https://www.pobpad.com/astaxanthin

Blue light, the threat of life from digital age!!!

Blue light, the threat of life from digital age!!!

September 06, 2024

ในทุกวันนี้ชีวิตประจำวันของเราส่วนใหญ่มักอยู่กับหน้าจอคอม หน้าจอโทรศัพท์ แท็บแลต และสื่ออิเล็กทรอนิกส์มากกว่า 8 ชั่วโมงต่อวัน จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ดวงตาจะได้รับแสงสีฟ้าจากอุปกรณ์เหล่านี้ไปด้วย ซึ่งเจ้าแสงสีฟ้านี่แหละที่เป็นภัยเงียบที่เข้ามามีผลต่อดวงตาเราโดยตรง 3 ภาวะเสี่ยงที่เกิดจากแสงสีฟ้าได้แก่  ภาวะตาล้า (Digital Eye Strain) มีอาการล้า คัน เคือง ปวด แสบตา มองภาพไม่ชัด ภาพซ้อน ปวดศีรษะ ปวดกระบอกตา น้ำตาไหล ตาแห้ง ดวงตาไวต่อแสงมากขึ้นภาวะเซลล์ประสาทตาตาย เมื่อดวงตาได้รับแสงสีฟ้า จะส่งผลให้เซลล์ดวงตาเสื่อมสภาพเร็วขึ้น ค่าสายตาผิดปกติเร็วขึ้น เนื่องจากคลื่นแสงพลังงานสูงเหนี่ยวนำให้เกิดการสร้างอนุมูลอิสระ (Free Radical) ในเซลล์ของจอประสาทตาจอประสาทตาเสื่อม สารเคมีช่วยการมองเห็นในจอตาที่เรียกว่าเรตินอล (Retinal) ทำปฏิกิริยากับแสงสีฟ้า ทำให้เกิดโมเลกุลมีพิษทำลายเยื่อหุ้มเซลล์รับแสงจนเซลล์ตายลง ส่งผลให้สูญเสียการมองเห็นอย่างถาวรเพราะจอตาไม่สามารถส่งสัญญาณสื่อประสาทไปยังสมองได้โรคตาแห้ง (Dry Eye) ทำให้เกิดอาการคัน ระคายเคือง หรือแสบตา ในบางรายอาจพบอาการตาแดงร่วมด้วย อาการเหล่านี้มักพบในกลุ่มคนที่ใส่คอนแทคเลนส์ และอยู่ในห้องปรับอากาศตลอดเวลา คนที่ผ่าตัดหรือทำเลเซอร์ตา และหากปล่อยให้ตาแห้งเป็นเวลานาน ๆ อาจส่งผลให้เกิดภาวะตาอักเสบ และเสี่ยงต่อภาวะดวงตาติดเชื้อ ซึ่งอาจทำให้เกิดปัญหาการมองเห็นต่อไปในอนาคตโรคต้อกระจก (Cataract) มีอาการเห็นภาพมัว มีฝ้าขาว ซึ่งแต่ละคนจะมีระดับความรุนแรงของอาการไม่เหมือนกันวิธีการดูแลดวงตาจากแสงสีฟ้า ได้แก่ ลดความสว่างของหน้าจออุปกรณ์ต่าง ๆติดฟิล์มที่หน้าจออุปกรณ์ต่าง ๆ เพื่อช่วยกรองแสงสีฟ้าพักสายตาทุก ๆ 30 นาที โดยหลับตาพักประมาณ 1 นาที มองไปไกลออกไป 30 วินาที และหาผ้าชุปน้ำอุ่น ๆ ประคบไว้ที่ดวงตาประมาณ 1-2 นาทีสวมแว่นกรองรังสีจากหน้าจออุปกรณ์ต่าง ๆกระพริบตา 1-2 ครั้งต่อ 10 วินาทีหาวิตามินเสริมเพื่อดูแลดวงตา ด้วยสารสกัดจากบิลเบอร์รี่ พร้อมเสริมการทำงานของดวงตาด้วยลูทีนบิลเบอร์รี่ (Bilberry) เป็นผลไม้สีน้ำเงินม่วง ตระกูลเดียวกับเบอร์รีทั้งหลาย และมีนักวิจัย ไมเคิล ที เมอร์เรย์ (Michael T. Murray) ได้กล่าวว่าสาร แอนโธไซยาโนไซด์ (Anthocyanosides)สารสีน้ำเงินหรือม่วงที่พบมากในบิลเบอร์รี มีคุณสมบัติสำคัญคือสารต้านอนุมูลอิสระที่มีบทบาทต่อดวงตา มีผลต่อเซลล์เยื่อบุผิวเรตินาในการมองเห็น และลดอาการเมื่อยล้าของดวงตา ช่วยป้องกันการเกิดโรคต้อกระจก และป้องกันจอประสาทตาเสื่อม อีกทั้งยังช่วยสร้างความแข็งแรงของคอลลาเจนในเส้นเลือดฝอยที่ตาและเชื่อมต่อเนื้อเยื่อดีขึ้น ลดอาการตาแห้ง ตาล้า และมีส่วนช่วยบรรเทาอาการตาบอดกลางคืน ทำให้การมองเห็นในที่สลัวดีขึ้น ควบคุมการทำงานของเรตินาจอรับแสงป้องกันโรคตาบอดแสง และการมองไม่เห็นในตอนกลางวันลูทีน (Lutein) เป็นสารอาหารในกลุ่มที่เรียกว่าแซนโทฟิลส์ (xanthophylls) มีลักษณะเป็นสารสีเหลือง อยู่ในจำพวกแคโรทีนอยด์ (carotenoids) เป็นสารอาหารที่ช่วยชะลอความเสื่อมของจอประสาทตา ภายในจอประสาทตาจะมีร่องเล็ก ๆ ที่มีเซลล์คอยรับภาพจากจอประสาทตา เป็นจุดที่แสงตกกระทบ และทำให้สามารถมองเห็นภาพที่ชัดเจนในแต่ละวันได้ ซึ่งบริเวณนี้จะพบลูทีนอยู่จำนวนมาก โดยจะพบได้ตรงชั้นเนื้อเยื่อที่หล่อเลี้ยงเส้นประสาท ซึ่งจุดที่สำคัญต่อการมองเห็นเป้นอย่างมาก หากบริเวณดังกล่าวเสื่อม หรือสูญเสียหน้าที่ จะทำให้สูญเสียการมองเห็น หรือตาบอดได้โดยลูทีน จะทำหน้าที่สำคัญในการกรองแสงสี เป็นสารต้านอนุมูลอิสระในดวงตา อีกทั้งยังเป็นสิ่งสำคัญในการปกป้องจอประสาทตา โดยลูทีนจะทำงานร่วมกับกรดไขมันดีเอชเอ และเอเอ ที่ช่วยเสริมสร้างพัฒนาการด้านการมองเห็นของเด็กอีกด้วย

White sesame oil extract Miracle from cereals

White sesame oil extract Miracle from cereals

September 05, 2024

“งาขาว” พืชเมล็ดจิ๋วที่ทุกคนรู้จักกันดี เป็นเมล็ดพืชเมล็ดจิ๋วแต่แจ๋วแถมยังดีต่อสุขภาพ เพราะอุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการที่จำเป็นต่อร่างกายอย่างมาก เช่น ให้พลังงาน 697 กิโลแคลอรี่ ให้น้ำ 3.0 กรัม ให้โปรตีน 26.1 กรัม ไขมันดี 64.2 กรัม ให้คาร์โบไฮเดตร 64.2 กรัม และให้แคลเซียม 90 มิลลิกรัม ทั้งยังอุดมไปด้วย โอเมก้า 3 โอเมก้า 6 และโอเมก้า 9 จึงทำให้งาขาวมักถูกนำมาใช้ประโยชน์ทั้งทางด้านสุขภาพและความงามเป็นจำนวนมากความมหัศจรรย์ของธัญพืชเมล็ดจิ๋ว “งาขาว”เสริมความแข็งแรงของกระดูก สารสกัดน้ำมันงาขาว เป็นแหล่งรวมแร่ธาตุหลายชนิดที่ล้วนดีต่อสุขภาพกระดูก เช่น ซิงค์ แคลเซียม ฟอสฟอรัส เป็นต้น โดยทางข้อมูลทางโภชนาการได้ระบุว่า งาขาว มีปริมาณแคลเซียมมากกว่านมวัวถึง 6 เท่า และมีมากกว่าผักหลายๆ ชนิดถึง 20 เท่า ทำให้เมื่อรับประทานน้ำมันงาขาวเป็นประจำสม่ำเสมอจึงช่วยเสริมการเติบโตของกระดูก และเสริมสร้างความแข็งแรงพร้อมซ่อมแซมกระดูกและกล้ามเนื้อที่บาดเจ็บ ลดอัตราเสี่ยงต่อภาวะกระดูกพรุน และป้องกันข้อเข่าเสื่อมลดอาการอักเสบ ในน้ำมันงาขาว เปี่ยมไปด้วยแร่ธาตุสำคัญอย่างธาตุคอปเปอร์ ที่มีฤทธิ์ในการต้านอาการอักเสบ อีกทั้งยังมีสารฟีนอลจำนวนมากที่เป็นสารในกลุ่มลิกแนนที่พบได้ในเฉพาะสารสกัดน้ำมันงา อันได้แก่ สารเซซามิน สารเซซามอล และสารเซซาโมลิน ซึ่งมีงานวิจัยเกี่ยวกับสารเซซามินในเมล็ดงาถึงผลในการรักษาโรคข้อเสื่อม พบว่า มีฤทธิ์ในการยับยั้งสารที่เข้าไปทำลายกระดูกอ่อนอย่างมีนัยสำคัญ โดยเจ้าสารเซซามินจากน้ำมันงาจะเข้าไปเพิ่มความหนาของกระดูกอ่อน เพื่อลดการสูญเสีย และเพิ่มปริมาณการสร้างคอลลาเจน (Collagen) และโปรทีโอไกลแคน (Proteoglycans) ที่เป็นองค์ประกอบสำคัญของโครงสร้างกระดูกอ่อนลดความเสี่ยงเกิดโรคมะเร็ง น้ำมันงาขาว อุดมไปด้วยแร่ธาตุแมกนีเซียมที่เป็นแหล่งของไฟเดต (Phytate) ที่ทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่เป็นหนึ่งในตัวการสำคัญที่จะนำพาให้เซลล์ในร่างกายเกิดโรคมะเร็งและโรคเรื้อรังร้ายแรงต่าง ๆลดอาการนอนไม่หลับ ในสารสกัดน้ำมันงาขาวมีวิตามินบี ที่จะช่วยคนที่กำลังประสบปัญหา “นอนไม่หลับ” เนื่องจากวิตามินบีในสารสกัดน้ำมันงา มีส่วนช่วยให้ระบบประสาททำงานดีขึ้น ช่วยบำรุงระบบประสาท ลดอาการตึงเครียดของสมอง จึงช่วยให้นอนหลับสบายและหลับลึกขึ้น ลดระดับคอเลสเตอรอล ในกระบวนการสกัดน้ำมันงาขาว จะได้ไขมันไม่อิ่มตัวชนิดที่ดีต่อร่างกาย อย่าง โอเมก้า 3 และโอเมก้า 6 ที่สามารถช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลและไขมันที่เกาะตามหลอดเลือด ที่เป็นสาเหตุของโรคเกี่ยวกับหลอดเลือดและหัวใจอีกด้วยทั้งหมดนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งในความมหัศจรรย์จากธัญพืชเมล็ดจิ๋วอย่าง “งาขาว”เท่านั้น ยังมีความมหัศจรรย์อีกมากมายที่เฉพาะตัวของเจ้าสารสกัดน้ำมันงาสามารถทำได้ แต่ด้วยองค์ประกอบหลักของสารสกัดน้ำมันงาให้พลังงานที่ค่อนข้างสูง จึงควรรับประทานวันละไม่เกิน 15 กรัม (1,000 มิลลิกรัม = 1 กรัม) และควรเพิ่มความพิถีพิถันในการเลือกผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่เป็นสารสกัดจากงาขาวบริสุทธิ์ที่แท้จริง เพราะมีบางแหล่งผลิตที่ทำการแต่งกลิ่นงาเพื่อดึงดูดความน่าสนใจ และควรเลือกแหล่งผลิตที่มีความน่าเชื่อถือ มีมาตรฐานรับรองถูกต้องเพื่อเป็นการการันตีถึงคุณค่าทางโภชนาการที่เราจะได้รับจากสารสกัดน้ำงา เพื่อเป็นประโยชน์ต่อร่างกายที่เราควรได้รับอย่างเต็มที่แหล่งอ้างอิงโดย 1. บทความ, “งา” ธัญพืชเมล็ดจิ๋วแต่แจ๋ว, มูลนิธิหัวใจแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์บทความ, งา ลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด ป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตัน, มูลนิธิหัวใจแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์งา ธัญพืชเพื่อสุขภาพ, กัษมาพร ปัญต๊ะบุตร, ฝ่ายกระบวนการผลิตและแปรรูปสถาบันค้นคว้าและพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหาร, มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์เรียงข้อมูลโดย ไทย เฮลท์ โปรดักส์ (THP)

Can Zinc Really Treat Acne?

Can Zinc Really Treat Acne?

September 04, 2024

ซิงค์ ( ZINC ) หรือสังกะสี เป็นแร่ธาตุในกลุ่มธาตุปริมาณน้อย หรือ Trace Minerals เป็นแร่ธาตุที่ใช้ในกระบวนการของร่างกายเพื่อนำไปใช้เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาร่วมกับเอนไซม์ต่างๆ ที่มีความสำคัญต่อการทำงานของอวัยวะ เช่น การสร้างเนื้อเยื่อต่างๆ การทำงานของระบบต่างๆ ของร่างกาย การรักษาแผลจากสิวอักเสบ เป็นต้น หากได้รับในปริมาณที่ไม่เพียงพอร่างกาย  อาจส่งผลให้ระบบการทำงานของร่างกายทำงานไม่เป็นปกติ สังกะสีพบได้ในทุกๆ เซลล์ของร่างกายและยังเป็นองค์ประกอบสำคัญของเอนไซม์กว่า 100 ชนิด อีกทั้ง ยังมีความจำเป็นต่อสุขภาพของระบบภูมิคุ้มกันโดยรวมช่วยในการรักษาบาดแผลให้หายเร็วขึ้นและยังช่วยให้พัฒนาการในวัยเด็กและหนุ่มสาวเป็นไปอย่างปกติซิงค์สามารถรักษาสิวได้ จริงๆหรือไม่ในความเป็นจริงแล้วซิงค์หรือสังกะสีไม่ได้มีผลในการรักษาสิวโดยตรง เพียงแต่สังกะสีสามารถช่วยรักษาสมดุลของต่อมไขมันและปริมาณไขมันที่ผลิตออกมาบนผิวหนังได้ จึงสามารถช่วยลดการอุดตันของไขมันที่เป็นสาเหตุของสิวอีกทั้งสังกะสียังมีฤทธิ์กระตุ้นการสร้างเซลล์เนื้อเยื่อต่างๆของผิวหนังทำให้แผลหายเร็วขึ้นและการอักเสบของแผลสิว ก็ลดน้อยลง ดังนั้นซิงค์จึงช่วยทำให้รู้สึกว่าแผลสิวหายเร็ว รอยดำรอยแดงก็จางเร็วขึ้นมากที่สำคัญที่สุดคือ ไม่ควรรับประทาน ซิงค์ (Zinc) พร้อมกับนมหรืออาหารที่มีแคลเซียมสูง เพราะแคลเซียมจะเป็นตัวขัดขวางการดูดซึมของ ซิงค์ แต่ถ้าหากรับประทานตอนท้องว่างแล้วรู้สึกไม่สบายท้อง ก็อาจทานพร้อมกับอาหารก็ได้แต่อาจได้รับผลจากยาไม่ดีเท่าที่ควรเพื่อให้สามารถรับประทานซิงค์ ได้โดยไม่เกิดปัญหา นอกจากนี้ซิงค์ ยังต้องใช้เวลาอย่างน้อย 3 เดือนหลังจากที่รับประทานเข้าไปแล้ว จึงจะให้ผลที่ชัดเจนโดยทั่วไปร่างกายได้รับแร่ธาตุซิงค์จากการรับประทานอาหารเป็นปกติอยู่แล้วแต่อาจพบภาวะการขาดซิงค์ได้ในบางคนซึ่งมีปัญหาในเรื่องระบบการการดูดซึมสารอาหารต่างๆ ภายในร่างกายโดยปริมาณความต้องการสังกะสีของแต่ละคนจะแตกต่างกันไปตามเพศ วัยและช่วงอายุ แต่โดยปกติแล้วไม่ควรรับประทานเกิน 40 mg./วัน เพราะหากร่างกายได้รับสังกะสีในปริมาณที่มากเกินไปอาจจะไปรบกวนการทำงานของระบบต่างๆในร่างกายได้ และอาจทำให้เกิดอาการคลื่นไส้อาเจียน ปวดท้อง ท้องเสีย เป็นต้นดังนั้นการรับประทานซิงค์ติดต่อกันเป็นเวลานานควรอยู่ในความดูแลของแพทย์ เพราะถึงแม้จะช่วยรักษาสิว ทั้งสิวอักเสบ และแผลจากสิวอักเสบ ก็ตาม แต่ก็อาจมีผลข้างเคียงถ้าทานมากเกินไป

Ginkgo Biloba

Ginkgo Biloba

September 03, 2024

จากภาวะทางสังคมที่มีการแข่งขันที่สูงขึ้น ปัจจัยมากมายรอบตัวที่เข้ามามีอิทธิพลต่อการใช้ชีวิต จึงส่งผลให้เกิดความเครียด แต่เมื่อชีวิตเรายังคงต้องดำเนินต่อไปในทุก ๆ วัน ทำให้เกิดเป็นความเครียดสะสมขึ้นเรื่อย ๆ จนส่งผลให้ “สมองล้า” (Brain fog syndrome) การทำงานของสมองในส่วนของความจำก็จะทำงานลดลง เริ่มมีอาการ เบลอ ๆ รู้สึกไม่สดชื่น มึนหัว พอหนักขึ้นก็เริ่ม นอนไม่หลับ ปวดหัวบ่อยขึ้นและเรื้อรัง สายตาพร่ามัว ความจำระยะสั้นแย่ลง ขี้หลงขี้ลืม และหงุดหงิดง่ายขึ้น หากยังปล่อยไว้ไม่ได้รักษาก็จะเสี่ยงที่จะเกิดโรคความจำเสื่อมก่อนวัย โรคอัลไซเมอร์ และโรคพาร์กินสันได้อาการ “สมองล้า” เป็นภาวะหนึ่งที่เกิดขึ้นกับสมอง มีผลมาจากความเครียดที่สะสมจากการใช้งานสมองอย่างหนักเป็นระยะเวลานาน ส่วนหนึ่งเกิดจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวันอย่าง การพักผ่อนน้อย การนอนดึก การทำงานโต้รุ่ง การเร่งทำงานให้เสร็จทันเวลา หรือแม้กระทั่งการใช้คอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน ๆ พฤติกรรมเหล่านี้เป็นสิ่งกระตุ้นให้สารเคมีในสมอง หรือที่เรียกว่าสารสื่อประสาท ที่ทำหน้าที่เชื่อมต่อข้อมูลระหว่างเซลล์ประสาททำงานลดลงและเสียสมดุล สมองจึงทำงานได้น้อยลงและเกิดเป็นอาการต่างตามที่กล่าวข้างต้น วันนี้เราจึงมาแนะนำตัวช่วยดี ๆ จากธรรมชาติ ที่ปลอดภัยกับร่างกายมาเป็นตัวเสริม และเพิ่มพลังสมองอย่าง “แปะก๊วย” มาฝาก“แปะก๊วย” (Ginkgo biloba L.) หรือ “สารสกัดจากใบแปะก๊วย” พืชใบสีเขียวที่มีสรรพคุณมากมายหลายด้าน มีสารสำคัญหลักอย่าง สารเทอร์พีนอยด์ (Terpinoidal compounds) ได้แก่ ไบโลบาไลด์ (Bilobalide) ไดเทอร์ปีนแลคโตน 5 ชนิด ที่รวมตัวกันเรียก กิงโกไลต์ (Ginkgolides) และสารฟลาโวนอยด์ (Flavonoids) จึงทำให้สารสกัดจากใบแปะก๊วย มีคุณสมบัติสำคัญมากมายที่ไม่ใช่แค่เพียงเพิ่มพลังและบำรุงสมอง แต่ยังสามารถช่วยฟื้นฟูระบบภายในของร่างกายให้กลับมาทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น จนได้รับการยอมรับและในบางประเทศมีการประกาศให้แปะก๊วยเป็นตัวยาที่แพทย์แผนปัจจุบันมีการสั่งจ่ายในการรักษา อีกทั้งยังมีศึกษาฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาของสารสกัดใบแปะก๊วยถึงผลในการรักษามากมาย อย่างฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant activity) ที่มีการศึกษาฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระของสารสกัดจากใบแปะก๊วย พบว่า สามารถช่วยลดปริมาณการผลิตอนุมูลอิสระ ป้องกัน LDL จากภาวะเครียด ป้องกันเม็ดเลือดแดงจาก EGB-761 สารที่ทำลายเซลล์ประสาท และยังป้องกันจอตา (Retina) จากความเสื่อมของเซลล์ประสาทฤทธิ์การไหลเวียนของโลหิตไปยังสมอง (Cerebral blood flow increase) จากการศึกษาพบว่า ผู้ที่ได้รับสารสกัดใบแปะก๊วยขนาด 120-300 มิลลิกรัม/คน/วัน เป็นเวลา 4-12 สัปดาห์ มีผลเพิ่มปริมาณโลหิตที่ไปเลี้ยงสมอง ทำให้อาการต่าง ๆ ที่เกิดจากโลหิตไปเลี้ยงสองไม่เพียงพอดีขึ้นภายใน 4 สัปดาห์ และหลังจากรับประทานต่อเนื่อง 12 สัปดาห์ อาการดีขึ้นชัดเจนเมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มที่ได้รับยาหลอก และจากการศึกษากับกลุ่มผู้ป่วยโลหิตไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ จำนวน 90 คน โดยให้รับประทานสารสกัดใบแปะก๊วยขนาด 150 มิลลิกรัม/วัน  เป็นเวลา 12 สัปดาห์ พบว่า ผู้ป่วยมีความจำดีขึ้น ระยะเวลาของความตั้งใจใจการทำงานเพิ่มขึ้น ความสามารถในการทำงานต่าง ๆ ที่ต้องใช้การปรับตัว และการตัดสินใจที่รวดเร็วดีขึ้นฤทธิ์ที่ช่วยให้ความจำดีขึ้น (Memory enhancement effect) โดยการศึกษาฤทธิ์ที่ช่วยให้ความจำดีขึ้นในผู้ป่วยสูงอายุ 18 คน ที่มีภาวะความจำเสื่อมจากความชรา พบว่า เมื่อผู้ป่วยรับประทานสารสกัดจากใบแปะก๊วยขนาด 320 มิลลิกรัม/คน สามารถช่วยให้ความจำของผู้ป่วยดีขึ้นนอกจากนี้ ยังมีการศึกษาอีกมากมายไม่ว่าจะเป็น การศึกษาฤทธิ์กระตุ้นระบบไหลเวียนโลหิต การศึกษาฤทธิ์ในการเพิ่มความสามารถในการเรียนรู้ และการศึกษาฤทธิ์เพิ่มการมองเห็น ฯลฯ มีผลไปในทิศทางเดียวกัน คือมีผลดีขึ้นเพิ่มเติมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ อีกทั้งสารสกัดจากใบแปะก๊วยยังมีสารสำคัญอย่าง เอเชียติโคไซค์ (Asiaticoside) เอเชียติคแอซิค (Aisatic Acid) และบลามิโนไซด์ (Brahimnoside) ที่ช่วยเข้าไปยับยั้งการสร้างสารที่ทำลายเซลล์สมอง ลดความเครียดของสมองจากการทำงานหนัก และช่วยเพิ่มความสามารถในการทำงานของกำลังสมองอีกด้วยการดูแลรักษาฟื้นฟูสมองด้วยการปรับการรับประทานอาหาร การออกกำลังกาย หรือการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอาจยังไม่เพียงพอต่อการรักษาฟื้นฟู เนื่องจากสิ่งต่าง ๆ ภายนอกไม่ว่าจะเป็น คลื่นแม่เหล็กจาก คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์ที่เข้าไปรบกวนสารสื่อประสาท ความเครียดที่เกิดโดยที่เราเองก็ไม่รู้ตัว การนอนดึก การนอนไม่เพียงพอ การที่ขาดการออกกำลังกาย ที่ทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองลดลง การที่ร่างกายได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ และการที่ร่างกายได้รับสารพิษจากมลภวะ สารเคมีจากอาหาร หรือสิ่งปนเปื้อนที่ปนมากับอากาศ ทั้งหมดนี้ล้วนแล้วแต่มีผลกระทบที่มีผลต่อสมองที่ยากจะหลีกเลี่ยง ได้การเพิ่มตัวช่วยเข้ามาช่วยเพิ่มพลังสมองจึงสำคัญอย่างมากเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีในระยะยาวแหล่งอ้างอิงโดยบทความวิชาการ, “แปะก๊วย” สมุนไพรรักษาความจำเสื่อม, พิชานันท์ ลีแก้ว, ศูนย์การศึกษาต่อเนื่องทางเภสัชศาสตร์, คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดลบทความสุขภาพน่ารู้, แปะก๊วยช่วยยับยั้งความเสื่อมของสมองและต้านอนุมูลอิสระ, ภก.สุดเหมือนฝัน ธนธัญญา, นิตรยาสารหมอชาวบ้าน เล่ม304รายงานความก้าวหน้าครั้งที่ 3, บทที่ 56 รายละเอียดข้อมูลยาทางชีวภาพแปะก๊วย (Ginkgo), โครงการเพิ่มศักยภาพฐานข้อมูลอุตสาหกรรมยาทางชีวภาพและเชื้อเพลิงชีวภาพ, มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือบทความผลงานทางวิชาการ, Ginkgo Biloba, ภก.พีรวัฒน์ จินาทองไทย, ศ.นพ.สุทธิพันธ์ จิตพิมลมาศ, คณะเภสัชศาสตร์, ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่นเรียงข้อมูลโดย ไทย เฮลท์ โปรดักส์ (THP)

How to take care of your health during the PM 2.5 crisis with dietary supplements

How to take care of your health during the PM 2.5 crisis with dietary supplements

September 02, 2024

ในช่วงเวลานี้ไม่มีอะไรเป็นภัยร้ายแรงต่อสุขภาพได้เท่ากับมลพิษ PM 2.5 เจ้าฝุ่นตัวกระจิ๋วแต่ผลกระทบไม่เล็กตามขนาดของมัน เจ้าฝุ่นตัวกระจิ๋วนี้มีขนาดตัวเพียงแค่ 2.5 ไมครอน หรือเพียง 1 ใน 25 ของเส้นผม ทำให้แม้กระทั่งขนจมูกของเราเองก็ไม่สามารถกรองเจ้าฝุ่นตัวกระจิ๋วนี้ได้ และเมื่อเจ้าฝุ่นตัวกระจิ๋วแทรกซึมเข้าสู่ร่างกายก็จะกลายเป็นแหล่งสะสมของสารอนุมูลอิสระ เมื่อเข้าสู่ร่างกายก็จะแพร่กระจายสู่ระบบทางเดินหายใจ จากหลอดลมเข้าสู่หลอดเลือด จากนั้นก็จะถูกลำเลียงไปยังอวัยวะต่าง ๆ ถูกเหนี่ยวนำให้เกิดภาวะอักเสบภายในร่างกาย และเป็นบ่อเกิดสำคัญของสารพัดโรคร้าย นอกจากนี้ทางกรมอนามัยโลก ได้ระบุไว้ว่า PM 2.5 เป็นสารกลุ่มที่ 1 ที่เป็นสารก่อมะเร็ง เป็น 1 ใน 8 ของสาเหตุที่ทำให้ประชากรเสียชีวิตก่อนวัยอันควร และยังทำให้เสี่ยงต่อโรคเรื้อรัง อย่าง โรคหลอดเลือดสมอง, โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง, โรคติดเชื้อเฉียบพลันในระบบทางเดินหายใจส่วนล่าง, โรคหัวใจขาดเลือด และโรคมะเร็งปอด เป็นต้น นอกจากนี้ทางแพทย์และผู้เชี่ยวชาญจากสมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทยยังได้ระบุว่า เจ้าฝุ่นตัวกระจิ๋วที่มีขนาดเล็กนี้ ยังมีน้ำหนักที่เบาจนสามารถลอยตัวในอากาศได้ และยังสามารถเข้าสู่ร่างกายทางผิวหนังของเราได้โดยตรง และยังมีงานวิจัยถึงผลกระทบของเจ้าฝุ่นตัวกระจิ๋ว PM 2.5 นี้พบว่า เจ้าฝุ่นตัวกระจิ๋วสามารถส่งผลต่อผิวหนังโดยสามารถแบ่งระดับอาการออกได้ 2 ระยะคือ ระยะเฉียบพลัน เจ้าฝุ่นตัวกระจิ๋วจะทำลายเซลล์ผิวหนังชั้นกำพร้า ทำให้เกิดการอักเสบ และระคายเคืองกับผิวหนังได้โดยตรงระยะเรื้อรัง เจ้าฝุ่นตัวกระจิ๋วเป็นอนุมูลอิสระที่ส่งผลร้ายต่อเซลล์ผิวหนัง ตั้งแต่กระบวนการสร้างเซลล์ ทำให้เซลล์ผิวเกิดภาวะความชรา จุดด่างดำ และลดการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันที่ผิวหนังอีกด้วย ด้วยเหตุนี้การป้องกันภัยจากเจ้าฝุ่นตัวกระจิ๋ว PM 2.5 จึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างมากในตอนนี้ โดยมีเคล็ดลับการดูแลสุขภาพง่าย ๆ คือ พยายามอยู่ภายในอาคาร พร้อมเสริมด้วยเครื่องกรองอากาศมาเป็นตัวช่วยในการดักเจ้าฝุ่นตัวกระจิ๋ว และหากมีเหตุจำเป็นที่จะต้องออกนอกบ้าน ก็ควรที่จะหลีกเลี่ยงพื้นที่แออัด อากาศถ่ายเทไม่สะดวก ควรทาโลชั่นหรือครีม ใส่หน้ากากกรองฝุ่น สวมแว่นตา แต่งกายให้มิดชิด และงดการออกกำลังกายกลางแจ้ง เพื่อลดการรับเจ้าฝุ่นตัวกระจิ๋ว PM 2.5 เข้าสู่ร่างกาย นอกจากนี้ยังมีการศึกษาวิจัยอีกว่า มีสารอาหารบางชนิดมีคุณสมบัติที่ช่วยต้านและลดความเป็นพิษของเจ้าฝุ่นตัวกระจิ๋ว PM 2.5 นี้ได้ ได้แก่โค เอนไซน์ คิว 10 เป็นสารคล้ายวิตามินที่มีความสำคัญในการสร้างพลังงานพื้นฐานให้กับเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกาย เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (Antiox idant) ที่มีประสิทธิภาพสูง คอยป้องกันสารอนุมูลอิสระที่จะเข้ามาภายในเซลล์ที่เป็นสาเหตุของโรคภัยต่าง ๆวิตามิน C เป็นวิตามินที่ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ และลดภาวะอาการอักเสบที่อาจเกิดจากเจ้าฝุ่นตัวกระจิ๋ว ดังนั้นแนะนำให้หาอาหารเสริมที่ให้ทั้งวิตามิน C และสารต้านอนุมูลอิสระ อย่างสารสกัดจากเมล็ดองุ่น ที่มีปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระในปริมาณที่สูง และยังมี OPC ที่สามารถต่อต้านอนุมูลอิสระได้สูงกว่าวิตามิน C ถึง 20 เท่าและสูงกว่าวิตามิน E 50 เท่าเบต้า แคโรทีน มีส่วนช่วยให้การทำงานของปอดกลับมาทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยังเป็นสารตั้งต้นของวิตามิน A ที่ช่วยส่งเสริมระบบทางเดินหายใจ และระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ซึ่งสามารถพบได้ในสารสกัดจากมะเขือเทศนั่นเองโอเมก้า 3 จากการศึกษาวิจัยทางคลินิกในกลุ่มผู้ใหญ่ และผู้สูงอายุที่อาศัยในแหล่งที่มีเจ้าฝุ่นตัวกระจิ๋ว PM 2.5 พบว่า การได้รับน้ำมันปลา 2 กรัม/วัน ช่วยลดผลเสียต่อสุขภาพของเจ้าฝุ่นตัวกระจิ๋ว PM 2.5ได้ ดังนั้นนอกจากการรับประทานปลาทะเล หรือปลาน้ำจืดแล้ว ลองหาผลิตภัณฑ์อาหารเสริมที่มีคุณภาพมาเป็นตัวช่วยดูแลสุขภาพในช่วงวิกฤติของเจ้าฝุ่นตัวกระจิ๋ว PM 2.5 นี้ถึงแม้ว่าตอนนี้การศึกษาวิจัยข้อมูลเกี่ยวกับสารอาหารกับเจ้าฝุ่นตัวกระจิ๋ว PM 2.5 ยังไม่ได้มีจำนวนที่มากพอ แต่ก็ยังมีอีกหลายงานวิจัยที่กล่าวถึงสารอาหารเหล่านี้ มีส่วนช่วยในการส่งเสริมสุขภาพร่างกาย โดยเฉพาะระบบภูมิคุ้มกันและเสริมการทำงานของระบบต่าง ๆ ให้กลับมามีประสิทธิภาพ อย่างน้อยก็ทำให้ภายในร่างกายมีความสมดุลแข็งแรงมากเพียงพอ และพร้อมที่จะรับมือต่อภัยเงียบจากเจ้าฝุ่นตัวกระจิ๋วอย่าง PM 2.5 นี้ได้แหล่งอ้างอิงโดยบทความวิชาการ, “ฝุ่น PM 2.5 กับโรคสมอง”, เรืออากาศโท นายแพทย์กีรติกร ว่องไววาณิชย์, อายุรแพทย์สมองและระบบประสาท, ศูนย์สมองและระบบประสาท, โรงพยาบาลกรุงเทพบทความสุขภาพน่ารู้, “ฝุ่น PM 2.5 กับผลกระทบทางผิวหนัง”, แพทย์หญิงจันทร์จิรา สวัสดิพงษ์, ผู้ช่วยผู้อำนวยการด้านการประชาสัมพันธ์องค์กร, สถาบันโรคผิวหนัง, กรมการแพทย์ฝุ่นพิษ PM 2.5 เยียวยาด้วยอาหารรักษ์หัวใจ, ผศ.ดร ฉัตรนภา หัตถโกศล, ภาควิชาโภชนวิทยา, คณะสาธารณสุขศาสตร์, มหาวิทยาลัยมหิดลเรียงข้อมูลโดย ไทย เฮลท์ โปรดักส์ (THP)